วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน และการ วิเคราะข้อมูลทางเทคนิค

       การวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน       


1.วิเคราะห์พื้นฐาน :ข้อมูลทางเศรษฐกิจ

ดังที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อปัจจัยที่มีผลกระทบกับราคาหุ้นว่า ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อผลตอบแทน และความเสี่ยง ซึ่งนำไปสู่การกำหนดมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นสามัญ ประกอบด้วยสามตัวแปร คือ ตัวแปรทางเศรษฐกิจ ตัวแปรอุตสาหกรรม และตัวแปรผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ ในหัวข้อนี้จะขอกล่าวถึงตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าจะส่งผลกระทบต่อการกำหนดมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างไร

วัตถุประสงค์การวิเคราะห์แบบพื้นฐานโดยใช้ข้อมูลทางเศรษฐกิจ        การวิเคราะห์ตัวแปรทางเศรษฐกิจ มีจุดมุ่งหมายเพื่อการคาดการณ์แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งแนวโน้มระยะสั้นในช่วง 1 ปีข้างหน้า และแนวโน้มระยะยาวตั้งแต่ 2 ปี ถึง 5 ปีขึ้นไป ว่าสถานการณ์อะไรบ้างที่จะกระทบต่อราคาหุ้น และการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน โดยผู้วิเคราะห์จำเป็นต้องดูทั้งสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ และสภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์การเงินในปัจจุบันมีการเปิดเสรีมากขึ้นดังนั้น สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศอื่นก็สามารถส่งผลกระทบต่อตลาดการเงิน และการลงทุนภายในประเทศได้เช่นเดียวกัน

ตัวชี้วัดและเครื่องมือบ่งชี้ที่นักลงทุนควรใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจ 

1.วัฏจักรเศรษฐกิจ
 เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนทราบว่า ณขณะปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศ หรือเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงใด ซึ่งปกติวัฏจักรเศรษฐกิจจะแบ่งเป็น 4 ช่วงได้แก่ เศรษฐกิจรุ่งเรือง (Peak) เศรษฐกิจหดตัว (Contraction) เศรษฐกิจต่ำสุด (Recession or Trough) และเศรษฐกิจขยายตัว (Recovery)
Image

  • เศรษฐกิจรุ่งเรือง (Peak) เป็นจุดสูงสุดของวัฏจักร ระบบเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งการผลิตบริโภค
  • เศรษฐกิจหดตัว (Contraction) เป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่ม
    ลดลง GDP ต่ำลง การผลิตและการจ้างงานลดลง รายได้ครัวเรือนลดลง
  • เศรษฐกิจต่ำสุด (Recession) ช่วงเวลานี้การว่างงานสูง ความต้องการสินค้าโดยรวมลดลง สินค้าที่ผลิตขึ้นมาไม่สามารถขายได้
    เศรษฐกิจขยายตัว (Recovery) เป็นช่วงที่การผลิตและการจ้างงานเริ่มเพิ่มขึ้น รายได้และรายจ่ายของครัวเรือนสูงขึ้น ทิศทางการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้น










2. ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) เป็นเครื่องมือวัดภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลมูลค่าของผลผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในประเทศ โดยไม่สนว่าปัจจัยการผลิตนั้นจะเป็นของประเทศใดก็ตาม ถ้า GDP เพิ่มขึ้นมายความว่ามูลค่าของผลผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในประเทศในปีนั้นเพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจในปีนั้นมีแนวโน้มดีขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้า GDP ลดลงหมายความว่ามูลค่าของผลผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในประเทศปีนั้นลดลง แสดงว่าเศรษฐกิจในปีนั้นมีแนวโน้มแย่ลง

3. ผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production)
 เป็นมูลค่าผลิตผลของอุตสาหกรรมมวลรวม โดยจำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยปกติผลผลิตอุตสาหกรรมมักจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับวัฏจักรเศรษฐกิจ กล่าวคือ ถ้าผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
 หมายความว่ามูลค่าผลิตผลทางด้านอุตสาหกรรมในปีนั้นมากขึ้น ซึ่งแสดงว่าเศรษฐกิจในปีนั้นจะมีแนวโน้มขยายตัว แต่ถ้าผลผลิตอุตสาหกรรมลดลง แสดงว่ามูลค่าผลิตผลทางด้านอุตสาหกรรมในปีนั้นน้อยลง แสดงว่าเศรษฐกิจในปีนั้นมีแนวโน้มหดตัว 

4. ดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI)
 เป็นดัชนีที่แสดงการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าจากผู้ผลิต โดยจำแนกเป็นราคากลุ่มผลิตภัณฑ์ และราคาในแต่ละช่วงของการผลิต ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงสินค้าสำเร็จรูป
 ถ้าดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น แสดงว่าราคาสินค้าประเภทวัตถุดิบมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปที่จำหน่ายแก่ผู้บริโภคจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ถ้าดัชนีราคาผู้ผลิตลดลง แสดงว่าราคาสินค้าประเภทวัตถุดิบมีการปรับตัวลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ระดับราคาสินค้าโดยทั่วไปที่จำหน่ายแก่ผู้บริโภคจะมีการปรับตัวลดลงด้วย

5. อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) เป็นภาวการณ์ที่ระดับราคาสินค้า และบริการโดยทั่วไปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการวัดอัตราเงินเฟ้อ นักลงทุนสามารถหาได้จากอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) กล่าวคือ ช่วงที่ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น เป็นช่วงที่ดัชนีราคาผู้บริโภคมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แสดงว่าราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายมีการปรับตัวสูงขึ้น ช่วงที่ภาวะเงินเฟ้อลดลง เป็นช่วงที่ดัชนีราคาผู้บริโภคมีการปรับตัวลดลง แสดงว่าราคาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องจ่ายมีการปรับตัวลดลง

 6. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) อัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนควร
นำมาพิจารณา ควรเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง และสามารถสะท้อนสภาพคล่องของตลาดเงินได้ด
ี เช่น อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาล (Repurchase Rate) ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนในการกู้ยืมของกิจการส่วนใหญ่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงถึงภาระทางการเงินที่มากขึ้น ในขณะที่ถ้าอัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวลดลง จะส่งผลให้ต้นทุนในการกู้ยืมของบริษัทส่วนใหญ่ลดลง ทำให้ภาระทางการเงินของบริษัทต่ำลง และในช่วงนี้บริษัทส่วนใหญ่จะทำการ
กู้ยืมมากขึ้นเพื่อนำเงินไปลงทุน

 7. อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เป็นตัวเลขที่แสดงอัตราร้อยละของผู้ว่างงานในระบบเศรษฐกิจเทียบกับกำลังแรงงานรวม ซึ่งสามารถบ่งบอกสภาพเศรษฐกิจโดยรวมว่าเป็นไปในทิศทางที่กำลังขยายตัวหรือหดตัว กล่าวคือ ในช่วงที่เศรษฐกิจดี หรือเศรษฐกิจขยายตัว อัตราการว่างงานมักจะต่ำ เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่จะทำการขยายงานจึงต้องมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาหรือหดตัว อัตราการว่างงานมักจะสูง เนื่องจากบริษัทจะทำการลดจำนวนคนงาน และไม่จ้างพนักงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะช่วยให้กิจการมีค่าใช้จ่ายที่ลดลงนั่นเอง



2.การวิเคราะห์แบบพื้นฐาน : ข้อมูลอุตสาหกรรม

 นอกจากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนควรทราบก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญแล้ว ข้อมูลสำคัญอีกประเภทหนึ่งที่นักลงทุนควรวิเคราะห์ คือข้อมูลระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้เนื่องจากอุตสาหกรรมแต่ละอุตสาหกรรมมีลักษณะโครงสร้างและการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ดังนั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมแต่ละอุตสาหกรรมย่อมไม่เท่ากัน
ตัวอย่างเช่น

        ในกรณีที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงหดตัว เป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มลดลง GDP เริ่มปรับตัวลดลง รายได้ของครัวเรือนเริ่มลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจแบบนี้อาจจะกระทบกับยอดขายของอุตสาหกรรมอาหารหรืออุตสาหกรรมยาไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่จำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเหล่านี้จะมียอดขายที่ลดลงมากกว่า หรือในกรณีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและการนำเข้าสินค้า หากอัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลง อุตสาหกรรมเหล่านี้ก็จะได้รับผลกระทบมากกว่าอุตสาหกรรมที่ขายหรือสั่งซื้อสินค้าภายในประเทศเพียงอย่างเดียว จากตัวอย่างทั้งสองทำให้เราทราบว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กระทบต่ออุตสาหกรรมแต่ละอุตสาหกรรมนั้นรุนแรงไม่เท่ากัน ดังนั้น นักลงทุนจึงจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์ข้อมูลในระดับอุตสาหกรรมด้วยเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน

วงจรการขยายตัวของอุตสาหกรรม เป็นการพิจารณาวัฏจักรชีวิตของอุตสาหกรรมหนึ่งๆ โดยแบ่งออกเป็น 4 ช่วง คือ

1. ระยะเริ่มพัฒนา (Inititial Development Stage) เป็นระยะที่อุตสาหกรรมเพิ่งเริ่มก่อตั้งและมีผู้ผลิตเพียงไม่กี่ราย ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ลูกค้ายอมรับและเป็นที่รู้จัก ในช่วงนี้ยอดขายของธุรกิจจะเติบโตค่อนข้างช้าและมีกำไรค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเป็นช่วงที่ธุรกิจมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการวิจัยพัฒนาหรือการแนะนำสินค้าค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้โอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลจากการลงทุนในบริษัทเหล่านี้มีไม่มาก

2. ระยะเจริญเติบโต (Growth) ในระยะนี้สินค้าเริ่มเป็นที่ยอมรับของตลาดยอดขายและผลกำไรจะเพิ่มขึ้นในอัตราสูงขึ้น ทำให้เริ่มมีคู่แข่งขันเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น แต่ผลกำไรที่บริษัทได้รับจำนวนมากนั้นจะต้องนำไปลงทุนต่อเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดที่มากขึ้น ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนในบริษัทเหล่านี้จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลมากขึ้นแต่จะได้รับในอัตราที่น้อยอยู่ เนื่องจากบริษัทจะต้องสำรองเงินบางส่วนเพื่อใช้ในการลงทุนต่อ

3. ระยะขยายตัว (Expansion) เป็นระยะที่อัตราการขยายตัวของยอดขายและกำไรยังเป็นไปในทางบวก แต่เป็นอัตราที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับระยะที่สอง เนื่องจากในระยะนี้มีจำนวนคู่แข่งขันเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดที่มากขึ้น อุตสาหกรรมที่อยู่ในระยะนี้มีความสามารถที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้
มากขึ้น

4. ระยะอิ่มตัว หรือเสื่อมถอย
 (Maturity or Decline)
 ระยะนี้เป็นระยะที่ความต้องการในสินค้าเริ่มถึงจุดอิ่มตัว ทำให้เริ่มมีบริษัทต่างๆ ออกจากอุตสาหกรรมนี้ไป ถ้าบริษัทที่ยังคงอยู่ไม่มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ หรือพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ ก็จะทำให้เข้าสู่ระยะเสื่อมถอยในที่สุด



การวิเคราะห์อุตสาหกรรมจาก Five Forces Model เป็นแนวทางการวิเคราะห์สภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม
โดยพิจารณาจาก 5 ปัจจัยต่อไปนี้ร่วมกัน
 ได้แก่


1. การแข่งขันภายในอุตสาหกรรม เป็นการพิจารณาว่า ณ ปัจจุบันมีบริษัทที่แข่งขันอยู่ในอุตสาหกรรมนี้จำนวนกี่ราย ถ้ามีบริษัทจำนวนมากในอุตสาหกรรมแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรง ในขณะที่ถ้ามีบริษัทจำนวนน้อยรายในอุตสาหกรรมก็แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นมีน้อย โดยปกติกำไรของบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรงจะน้อยกว่าบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันไม่รุนแรง ดังนั้น โอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลจากการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรงจึงน้อยกว่าไปด้วย
2. อุปสรรคของคู่แข่งขันรายใหม่ นอกจากการพิจารณาถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมแล้ว เราจะต้องพิจารณาถึงคู่แข่งขันที่กำลังจะเข้ามาแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้รายใหม่ๆ ด้วยว่า คู่แข่งขันรายใหม่จะสามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ได้ยากง่ายเพียงใด เนื่องจากหากคู่แข่งขันรายใหม่สามารถเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ได้ง่าย ก็จะทำให้จำนวนคู่แข่งขันในอุตสาหกรรมนี้มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การตัดราคาสินค้าระหว่างกัน ส่งผลให้กำไรต่อหน่วยของบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆ ลดลง และทำให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับมีโอกาสลดลงไปด้วย
3. อำนาจต่อรองของผู้ซื้อสินค้า หากอุตสาหกรรมใดผู้ซื้อมีอำนาจในการต่อรองราคาได้มาก ก็จะทำให้บริษัทในอุตสาหกรรมนั้นได้กำไรต่อหน่วยที่ลดลงในทางตรงกันข้าม หากสินค้าใดที่ลูกค้าไม่มีอำนาจต่อรอง กล่าวคือ เนื่องจากมีผู้ขายสินค้าชนิดนั้นในอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่ราย ความสามารถในการกำหนดราคาสินค้าก็ขึ้นอยู่กับผู้ขายเป็นหลัก กำไรของบริษัทเหล่านี้จะมีมาก และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นมากขึ้นไปด้วย

4. อำนาจต่อรองของผู้ขายวัตถุดิบ หากอุตสาหกรรมใดมีผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบน้อยราย อำนาจในการต่อรองราคาก็จะตกอยู่กับผู้ขายวัตถุดิบ แต่ถ้ามีผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบมากราย อำนาจในการต่อรองราคาวัตถุดิบก็จะตกอยู่กับบริษัทนั้นๆ
ซึ่งอำนาจในการต่อรองราคาวัตถุดิบจะส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนการผลิตของบริษัทนั่นเอง ดังนั้น บริษัทใดมีอำนาจในการต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบมาก ก็จะทำให้บริษัทนั้นมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ และมีโอกาสในการได้รับกำไรที่มากขึ้นดังนั้น ผู้ถือหุ้นก็จะมีโอกาสที่จะได้รับเงินปันผลที่มากขึ้นด้วยเช่นเดียวกันในทางตรงกันข้าม หากบริษัทใดมีอำนาจในการต่อรองกับผู้ขายวัตถุดิบน้อยก็จะทำให้บริษัทนั้นมีต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้กำไรที่คาดว่าจะได้รับลดลง ดังนั้น โอกาสที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลก็ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน

5. สินค้าทดแทน หากอุตสาหกรรมใดมีสินค้าที่สามารถใช้ทดแทนได้จำนวนมาก การแข่งขันในอุตสาหกรรมนั้นจะยิ่งรุนแรงขึ้น การแย่งส่วนแบ่งการตลาดและการแบ่งผลกำไรก็จะมีมากขึ้นตามมา เนื่องจากผู้บริโภคหรือลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งประกอบด้วยเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ต่างๆ ในช่วงเวลาที่มีข่าวไข้หวัดนก ผู้บริโภคอาจหันไปบริโภคเนื้อหมู
อาหารทะเล หรือผักผลไม้ต่างๆ แทนการบริโภคเนื้อไก่ เป็นต้น ดังนั้น บริษัทในอุตสาหกรรมเหล่านี้จึงมักมีผลกำไรที่ต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้การจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นลดลงไปด้วย





3.การวิเคราะห์แบบพื้นฐาน : ข้อมูลบริษัท


การวิเคราะห์บริษัทมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้คัดเลือกบริษัทที่ควรลงทุน โดยแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Approach) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Approach) นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับข้อมูลทั้งสองประเภท โดยพิจารณาข้อมูลร่วมกันก่อนการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์

ข้อมลเชิงคุณภาพ และข้อมูลเชิงปริมาณ

        1. ข้อมูลเชิงคุณภาพ เป็นข้อมูลที่ใช้เพื่อการประเมินระดับความสามารถของบริษัทในด้านต่างๆ โดยไม่ใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขโดยปกติข้อมูลเชิงคุณภาพจะประกอบไปด้วย ข้อมูลประวัติความเป็นมาของบริษัท ลักษณะการดำเนินงานของบริษัท แผนงานที่บริษัทคาดว่าจะดำเนินการในอนาคต การเชื่อมโยงผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม ที่มีต่อธุรกิจ เป็นต้น

        2. ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นการวิเคราะห์ข้อมูล
โดยประเมินจากตัวเลขที่เชื่อถือได้
 เพื่อใช้ในการบ่งบอกถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา ตัวอย่างข้อมูลเชิงปริมาณที่สำคัญที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญ ได้แก่ งบการเงิน และหมายเหตุประกอบงบการเงิน



การวิเคราะห์ ROE สามารถแยกองค์ประกอบออกเป็น 3 ส่วน ทำให้วิเคราะห์ได้ละเอียดยิ่งขึ้น


Image

งบการเงิน (Financial Statement) เป็นข้อมูลเชิงปริมาณที่สำคัญที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยงบการเงินคือรายงานทางบัญชีรูปแบบหนึ่งที่อธิบายกิจกรรมทางธุรกิจ 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรมการดำเนินงานกิจกรรมการลงทุน และกิจกรรมการจัดหาเงินทุน โดยทั่วไปงบการเงินที่ผู้ลงทุนควรทราบจะประกอบไปด้วย 3 งบหลัก และหมายเหตุประกอบงบการเงิน

Image

1. งบดุล (Balance Sheet) คือ งบที่แสดงฐานะการเงินของบริษัท ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

ส่วนแรก คือส่วนของสินทรัพย์ จะรายงานเกี่ยวกับการลงทุนในทรัพยากรของบริษัทว่าประกอบไปด้วยอะไรบ้าง (เช่น เงินสด ลูกหนี้ สินค้าคงคลัง เครื่องจักร รถยนต์ อาคาร ที่ดิน เป็นต้น) และรายการเหล่านั้นมีมูลค่าเท่าไร


ส่วนที่สอง คือส่วนของหนี้สิน และส่วนของเจ้าของ จะรายงานเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนว่าเงินที่นำมาลงทุนในทรัพยากรของบริษัทนั้นมาจากแหล่งใด เช่น ถ้ามาจากการกู้ยืมจะรายงานในส่วนของหนี้สิน แต่ถ้ามาจากเงินส่วนตัวหรือการขายหุ้นสามัญจะรายงานในส่วนของเจ้าของ ซึ่งความสัมพันธ์ของ 2 ส่วนสามารถอธิบายได้โดยสมการต่อไปนี้



Image


















2. งบกำไรขาดทุน (Income Statement) เป็นงบการเงินที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ โดยแสดงรายการหลักๆ อันเกี่ยวข้องกับผลประกอบการของบริษัท ได้แก่ ยอดขาย ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่าย และกำไรเป็นต้น

ตัวอย่าง  งบกำไรขาดทุน บริษัท xxx จำกัด สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549

Image


3. งบกระแสเงินสด (Statement of Cash Flow) เป็นงบการเงินที่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับกระแสเงินสดรับ และกระแสเงินสดจ่ายของบริษัทในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยแสดงเป็นแหล่งที่มา และแหล่งใช้ไปของเงินสด แบ่งตามกิจกรรมที่เกิดขึ้นในธุรกิจซึ่งประกอบไปด้วย กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน และกระแสเงินสดจากกิจกรรมการจัดหาเงินทุน ซึ่งผลรวมของกระแสเงินสดทั้งสามกิจกรรมจะเท่ากับจำนวนเงินสดของกิจการที่เพิ่มขึ้น หรือลดลงในแต่ละปี


ตัวอย่าง งบกระแสเงินสด บริษัท xxx จำกัด สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2549

Image




 4. หมายเหตุประกอบงบการเงิน เป็นรายงานที่แสดงรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับข้อมูลที่ไม่ได้รวมไว้ในงบการเงินทั้งสามประเภทข้างต้น ตัวอย่างข้อมูลที่แสดงในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ได้แก่ นโยบายบัญชีที่บริษัทเลือกใช้วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคา วิธีการบันทึกบัญชีต้นทุนขาย เป็นต้น
        นอกจากงบการเงินทั้งสามงบ และหมายเหตุประกอบงบการเงินที่นักลงทุนควรศึกษาก่อนการลงทุนแล้ว “รายงานผู้สอบบัญชี” ยังเป็นข้อมูลสำคัญอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยให้ผู้อ่านงบเกิดความมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลตามมาตรการบัญชีที่รับรองทั่วไป ดังนั้น ก่อนที่นักลงทุนจะนำข้อมูลในงบการเงินไปใช้ในการตัดสินใจ นักลงทุนควรอ่านรายงานความเห็นของผู้สอบบัญชีรับอนุญาตด้วย


รายงานผู้สอบบัญชี“นักลงทุนควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเห็นของผู้สอบบัญชีที่แสดงในรายงานผู้สอบบัญชี ว่าผู้สอบบัญชีให้ความเห็นเกี่ยวกับงบการเงินไว้อย่างไร” รายงานผู้สอบบัญชีมี 4 แบบ ได้แก่

Image



เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
        สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ เพื่อไม่ให้นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้แบบไร้ทิศทาง จึงมีเครื่องมือประเภทหนึ่งที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้วิเคราะห์นั่นคือ การวิเคราะห์ SWOT โดยการวิเคราะห์ SWOT จะช่วยให้นักลงทุนทราบถึงจุดแข็ง (Strengths) ของบริษัทว่ามีอะไร และอะไรคือจุดอ่อน (Weaknesses) ของบริษัท รวมถึงในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้บริษัทจะได้รับโอกาส (Opportunities) อะไรใหม่ๆ หรือจะต้องเผชิญกับอุปสรรค (Threats) อะไรหรือไม่

ตัวอย่าง การวิเคราะห์ SWOT ของบริษัท XXX ซึ่งดำเนินธุรกิจทางด้านสื่อสารโทรคมนาคม


Image


เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ        สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การวิเคราะห์ “อัตราส่วนทางการเงิน” ซึ่งการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินจะช่วยให้การทำความเข้าใจงบการเงินง่ายขึ้น ทั้งในด้านการแปลความหมาย และการเปรียบเทียบข้ามบริษัท โดยปกติการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินจะช่วยให้เราเข้าใจบริษัทมากขึ้นในประเด็นต่างๆ เช่น สภาพคล่อง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ของกิจการ และความสามารถในการก่อหนี้ เป็นต้น

ตัวอย่างการวิเคราะห์ “อัตราส่วนทางการเงิน” โดยใช้ ROEROE (Return on Equity) คืออัตราส่วนทางการเงินที่แสดงถึงผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงผลตอบแทนที่จ่ายให้กับเจ้าหนี้แล้วจากการนำเงินมาลงทุนในบริษัท โดยมีสูตร


Image


ตัวอย่างการวิเคราะห์ “อัตราส่วนทางการเงิน” โดยใช้ ROE
ตัวอย่างเช่น

Image



จากตัวอย่างข้างต้น หากเราวิเคราะห์โดยไม่ใช้อัตราส่วนทางการเงินเราจะพบว่ากำไรสุทธิของกิจการในปี 2549 เพิ่มขึ้นจากปี 2548 จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งทำให้เราสรุปว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับบริษัท แต่เมื่อเราวิเคราะห์ข้อมูลนี้ใหม่ โดยใช้
อัตราส่วนทางการเงิน ROE เราจะพบว่านอกจากกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นแล้ว ในส่วนของเจ้าของก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อเราคำนวณโดยใช้สูตร ROE เราจึงพบว่าอัตราผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับในปี 2549 มีค่าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปี 2548
ถึง 1%




4.วิเคราะห์พื้นฐาน : การประเมินมูลค่าหุ้น

การประเมินมูลค่าหุ้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายหุ้น โดยเกณฑ์การตัดสินใจของนักลงทุนเกิดจากการเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาด ณ ปัจจุบัน กับมูลค่าที่แท้จริงที่ได้จากการประเมิน โดย “นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหรือลงทุนในหุ้นใดๆ เมื่อราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ในทางตรงกันข้ามจะตัดสินใจขายเมื่อราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง”
        ดังนั้น นักลงทุนจึงควรรู้แนวคิดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าหุ้น เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบกับ
ราคาตลาด และทำการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายหุ้นดี ซึ่งแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าหุ้นอย่างง่ายที่นักลงทุนควร
ทำความเข้าใจ แบ่งออกเป็น 2 แนวคิดหลักๆ คือ

    1. การประเมินมูลค่าหุ้นโดยการคิดลดเงินปันผล (Dividend Discounted Model)
    2. การประเมินมูลค่าหุ้นโดยวิธีสัมพัทธ์ (Relative Method)

Image



การประเมินมูลค่าหุ้นโดยการคิดลดเงินปันผล        วิธีคิดการหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญ ภายใต้แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นสามัญวันนี้
ย่อมคาดหวังผลประโยชน์หรือผลตอบแทนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตจากการลงทุนในหุ้นสามัญ
 ดังนั้น ราคาหุ้นที่นักลงทุน
ยอมจ่ายในวันนี้จึงเป็นราคาสำหรับสิ่งที่ตนคาดว่าจะได้รับในอนาคต ซึ่งผลตอบแทนภายใต้แนวความคิดนี้ที่นักลงทุนคาดว่า
จะได้รับก็คือ “เงินปันผล” แต่กระแสเงินสดดังกล่าวเป็นกระแสเงินสดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมูลค่าของเงินในอนาคต
ย่อมไม่เท่ากับมูลค่าของเงินในปัจจุบัน ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องเทียบมูลค่าของเงินดังกล่าวให้กลับมาเป็นปัจจุบัน โดยใช้แนวคิด“อัตราคิดลด”
 


Image




 อัตราคิดลด (Discount Rate) เป็นตัวเลขที่ใช้เพื่อการ
แปลงค่าเงินในอนาคตให้เป็นมูลค่า ณ เวลาปัจจุบัน โดยปกติตัวเลขที่ใช้คิดลดสำหรับเงินปันผล ได้แก่ อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ
จากการลงทุนในหุ้นนั้น

โดยมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญ (P0) สามารถคำนวณได้จากสูตร
ดังต่อไปนี้

Image




Image


ภายใต้แนวความคิดนี้มีสมมติฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ บริษัทที่
นักลงทุนกำลังจะลงทุนต้องเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจต่อไป ไม่มีวัน
ครบกำหนดอายุ (Going Concern
) ดังนั้น เงินปันผลที่นักลงทุนคาดว่าจะได้รับก็จะได้รับต่อเนื่องไปตราบเท่าที่กิจการนั้นยังคงดำเนินอยู่
        จากสมการดังกล่าวเมื่อเราคำนวณหาค่า P0 ได้แล้ว ค่าที่ได้จะเป็นมูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นสามัญ ซึ่งนักลงทุนจะนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับราคาตลาด ณ ปัจจุบัน แล้วตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายตามเกณฑ์ที่ได้กล่าวไปในตอนต้น
        อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินักวิเคราะห์จะเป็นผู้คาดการณ์
เงินปันผลในอนาคตที่จะเกิดขึ้นภายใต้สมมติฐานของแต่ละนักวิเคราะห์
ซึ่งนักลงทุนควรทำความเข้าใจสมมติฐานดังกล่าวจากบทวิเคราะห์ที่มีการเผยแพร่จากโบรกเกอร์นั้นๆ ดังนั้น ราคาที่ประเมินได้ของแต่ละโบรกเกอร์จึงมีค่าไม่เท่ากัน นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบค่าได้จาก Analyst Consensus (SAA Concensus)


Image



การประเมินมูลค่าหุ้นโดยวิธีสัมพัทธ์ 
วิธีการหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญภายใต้แนวความคิดนี้ เกิดจากความเชื่อที่ว่านักลงทุนควรจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นสามัญเป็น
กี่เท่าของตัวแปรทางบัญชีต่างๆ เช่น กำไรต่อหุ้น มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ยอดขายต่อหุ้น หรือกระแสเงินสดต่อหุ้น เป็นต้น
ในที่นี้จะขออธิบายเฉพาะตัวแปรกำไรต่อหุ้นเท่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า “อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น”
อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio หรือ Price to Earnings Ratio)
อัตราส่วนนี้คำนวณจากราคาปิดของหุ้น หารด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น โดยหลักการคำนวณอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ว่านักลงทุนจะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นสามัญเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้น


Image



ตัวอย่างเช่น บริษัท GTO รายงานกำไรสุทธิปีล่าสุดที่ 1.5 ล้านบาท โดยราคาตลาดของหุ้น GTO ณ ปัจจุบัน เท่ากับ
20 บาท ดังนั้น ค่า P/E Ratio ของหุ้น GTO จะเท่ากับ 13.33 เท่า (20 ÷1.5)


การประเมินมูลค่าหุ้นโดยวิธีสัมพัทธ์ 


Image




นักลงทุนจะใช้ P/E Ratio ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างไร?
        การใช้ P/E Ratio เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน
นักลงทุนต้องนำค่า P/E Ratio ที่คำนวณได้ไปเปรียบเทียบกับค่า
P/E Ratio
 ที่เป็นมาตรฐานอ้างอิง (Benchmark P/E) เช่น P/E ของบริษัทที่เป็นผู้นำในตลาด, P/E ของบริษัทคู่แข่ง หรือ P/E ของอุตสาหกรรม โดยมีเกณฑ์ดังต่อไปนี้
ถ้า P/E Ratio ของบริษัทที่เรากำลังประเมิน น้อยกว่า Benchmark P/E แปลว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญต่ำกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ดังนั้น นักลงทุนควร “ซื้อ”
ถ้า P/E Ratio ของบริษัทที่เรากำลังประเมิน มากกว่า Benchmark P/E แปลว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นสามัญมากกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน
ดังนั้น นักลงทุนควร “ขาย”
        จากตัวอย่างในสไลด์ก่อนหน้าซึ่งคำนวณค่า P/ERatio ได้
13.33 เท่า สมมติ Benchmark P/E เท่ากับ 10 เท่า นักลงทุนควร
ซื้อหรือขายหุ้น GTO? คำตอบคือนักลงทุนไม่ควรซื้อหุ้น GTO เพราะ
ราคาตลาดในปัจจุบันแพงเกินมูลค่าที่แท้จริง หรือ ในกรณีที่นักลงทุนมีหุ้น GTO อยู่แล้วก็ควรจะขายออกไป


++++++++++++++++++++












       การวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิค    




 นอกจากการวิเคราะห์ราคาหุ้นโดยใช้ปัจจัยพื้นฐานแล้ว อีกแนวคิดหนึ่งที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันที่นักลงทุนสามารถใช้เพื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจลงทุนในหุ้นสามัญได้ คือ การวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค
การวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิค        การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการศึกษาพฤติกรรมของราคาหุ้น หรือพฤติกรรมของตลาดในอดีต โดยใช้หลักสถิติ เพื่อนำมาใช้คาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคต และช่วยให้นักลงทุนหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม โดยข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ ระดับราคา และปริมาณการซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ ทฤษฎีที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีหลากหลายทฤษฎี ในที่นี้จะขอกล่าวถึงทฤษฎีพื้นฐานที่สำคัญที่นักลงทุนควรทราบเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนในเบื้องต้น

Image


ข้อสมมติฐานในการวิเคราะห์หลักทรัพย์ทางเทคนิคที่นักลงทุนควรทราบ
    
1. ราคาตลาดของหลักทรัพย์ได้สะท้อนให้ทราบถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยราคาตลาดจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานของหลักทรัพย์
    2. ราคาของหลักทรัพย์จะเคลื่อนไหวในลักษณะเป็นแนวโน้ม และมีความต่อเนื่อง
    3. ลักษณะของราคาหลักทรัพย์ที่เกิดขึ้นในอดีตจะเกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต





Image


แนวโน้ม และเส้นแนวโน้ม (Trend Line)เป็นการบ่งบอกถึงลักษณะการเคลื่อนไหวโดยรวมของราคาหุ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ระยะหนึ่ง โดยรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอาจเคลื่อนไหวโดยมีแนวโน้มเป็นเส้นตรงในระยะยาว หรือมีแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่ต่างรูปแบบออกไปดังต่อไปนี้

*เส้นแนวโน้มขึ้นเป็นเส้นตรง (uptrend)
 จะแสดงให้เห็นถึงระดับที่ราคาหุ้นสูงสุด จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าราคาสูงสุดครั้งก่อน หรือราคาหุ้นต่ำสุดก็จะอยู่สูงกว่าราคาหุ้นต่ำสุดครั้งก่อน หรือแปลความได้ว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นนั่นเอง


   Image       






Image


ให้นักลงทุนลากเส้นจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 3 โดยให้ส่วนปลายจุดที่ 3 เลยออกไป หากราคามีการปรับตัวถึงจุดที่ 5 จะเป็นสัญญาณยืนยันของ Uptrend ดังนั้นหากราคามีการปรับตัวลงมาใกล้ Uptrend อีกครั้งที่จุดที่ 7 จะเป็นจุดที่นักลงทุนควรซื้อตามสัญญาณทางเทคนิค


แนวโน้ม และ เส้นแนวโน้ม (Trend Line)* เส้นแนวโน้มลงเป็นเส้นตรง (Downtrend) จะแสดงให้เห็นถึงระดับที่ราคาหุ้นต่ำสุด จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดครั้งก่อน หรือราคาหุ้นสูงสุด
ก็จะอยู่ต่ำกว่าราคาหุ้นสูงสุดครั้งก่อน หรือแปลความได้ว่าราคาหุ้นอยู่ในช่วง
ขาลงนั่นเอง
ตัวอย่างการใช้เส้นแนวโน้มลงเพื่อหาจังหวะขา



Image     






 Image



ให้นักลงทุนลากเส้นจากจุดที่ 1 ไปจุดที่ 3 โดยให้ส่วนปลายของจุดที่ 3 เลยออกไป หากราคาหุ้นไม่สามารถข้ามเส้น Downtrend Line ในจุดที่ 5 ได้จะเป็นสัญญาณยืนยันเส้น Downtrend Line ดังนั้นหากราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาใกล้ Downtrend Line อีกครั้ง เช่น จุดที่ 7 นักลงทุนควรขายหุ้น ณ จุดนี้

เส้นแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลง หรือแนวโน้มราบ (Sideways)
 จะแสดงให้เห็นลักษณะการปรับตัวของราคาหุ้นในช่วงแคบๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงที่มีอุปสงค์และอุปทานในหุ้นนั้นใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ถ้าราคาหุ้นที่สูงขึ้นครั้งใหม่จะเท่ากับที่เคยสูงขึ้น
ครั้งก่อน ในขณะที่ถ้าราคาหุ้นต่ำลงครั้งใหม่จะเท่ากับหรือใกล้เคียงกับราคาที่ต่ำลงครั้งก่อน

แนวรับ และ แนวต้าน (Support and Resistance)
        
แนวคิดนี้มีหลักการ คือ เมื่อราคาหุ้นได้ลดลงมาถึง ณ ระดับราคาที่เป็น
แนวรับ (Support Level) แล้วก็จะมีแรงซื้อเข้ามารองรับ ทำให้ระดับราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะไม่ลดต่ำลง ในทางตรงกันข้าม เมื่อระดับราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปถึง ณ ระดับราคาที่เป็นแนวต้าน (Resistance Level) จะเป็นระดับราคาที่มีแรงขายมาก โดยแรงขายนั้นอาจเพียงพอที่จะหยุดราคาหุ้นไม่ให้สูงไปกว่าระดับราคานี้ได้
        จากตัวอย่างเครื่องมือต่างๆ ที่ได้กล่าวไปในตอนต้น ทำให้เราทราบว่า
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเพียงข้อมูลเพื่อใช้หาจังหวะที่เหมาะสมในการซื้อ หรือขายหุ้น หรือระยะเวลาในการถือครองหุ้นเท่านั้น ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรพิจารณา
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วย จึงจะทำให้การลงทุนของนักลงทุนมีประสิทธิภาพมากที่สุด



Image





    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น