วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สหรัฐเสี่ยงถูกหั่นเครดิตทุนนอกไหลเข้าดันหุ้นพุ่ง

รายงานข่าวจาก บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงแนวโน้มการแก้ปัญหาหนี้ของสหรัฐ ว่า สหรัฐไม่น่าจะยอมผิดนัดชำระหนี้แต่มีความเสี่ยงถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือใน 2 กรณี คือจากการไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ทันวันที่ 2 ส.ค. คาดว่าจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะสั้น และคาดว่าจะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือเพราะแผนการลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐต่ำกว่าระดับที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต้องการ 

ทั้งนี้หากเกิดการลดอันดับความน่าเชื่อถือจริง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาพันธบัตรสหรัฐและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ผลกระทบในเชิงลบดังกล่าวจะต่ำกว่ากรณีที่สหรัฐผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากประเมินว่า นักลงทุนที่เป็นผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐส่วนใหญ่ เช่น จีน และ ญี่ปุ่น จะไม่ขายพันธบัตรสหรัฐที่ถือครองอยู่ออกมา เพราะสร้างความเสียหายให้กับตนเอง 

ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยนั้น หากผลเจรจาขยายเพดานหนี้สำเร็จ จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลง ตามแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีมีโอกาสลดลงไปที่ระดับ 1,080 จุด ซึ่งเป็นต้นทุนเฉลี่ยของนักลงทุนต่างชาติรอบนี้ แต่หากสหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าต่อเนื่องจากเงินทุนไหลเข้า ดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นไประดับ 1,150 จุด 

นอกจากนี้หากสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสลดลงแรง หรืออยู่ในระดับ 1,060-1,030 จุด แต่บริษัทยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งมีโอกาสปรับตัวขึ้นถึง 1,200 จุดได้อย่างไรก็ตามบริษัทได้ประเมินแนวทางผลเจรจาเพื่อขยายเพดานหนี้ของรัฐต่อสภาสหรัฐไว้ 3 แนวทาง คือ ขยายเพดานหนี้ทันเวลาวันที่ 2 ส.ค. โดยมีโอกาสเกิดมากที่สุดและเป็นกรณีที่ดีที่สุด, ขยายเพดานหนี้ไม่ทันวันที่ 2 ส.ค. แต่จะขยายได้ภายหลังจากนั้นไม่นานและไม่ผิดนัดชำระหนี้ มีโอกาสเกิดขึ้นปานกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดการเงินในระยะสั้นแต่ไม่มากนัก 

ส่วนกรณีสุดท้ายคือ ผิดนัดชำระหนี้ มีโอกาสเกิดน้อยที่สุด แต่หากเกิดขึ้นจะกระทบต่อตลาดการเงินมากที่สุด สำหรับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ถือว่าสะท้อนปัญหาเพดานหนี้สหรัฐไปบ้างแล้ว หลังจากดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลงแล้ว 3% นับตั้งแต่ระดับ 76 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ค่าเงินในเอเชียแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 14 ปี ล่าสุดค่าเงินเยน อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 78 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือแข็งค่าขึ้น 4% และค่าเงินบาทอยู่ที่ 29.74 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 2% 

“แนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐจะผันผวนมากจนถึงวันที่ 2 ส.ค. หากผลออกมาในเชิงบวก คาดว่าจะส่งผลดีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้นให้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินในเอเชีย ทำให้ค่าเงินบาทไทยมีโอกาสอ่อนค่ามากที่สุดในระดับ 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากผลออกมาในเชิงลบ รวมถึงกรณีที่สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะส่งผลลบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนค่าต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งจนกว่าตลาดจะเริ่มคลายความกังวลลงไป อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ได้ประเมินค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าได้ถึง 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และผลออกมาในเชิงลบมาก จะส่งผล กระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและตลาดการเงินอย่างรุนแรง”.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น